สกร. ย่อมาจาก กรมส่งเสริมการเรียนรู้ ซึ่งเป็นหน่วยงานใหม่ที่ยกระดับจากสำนักงาน กศน. ตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. 2566 ที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2566 หน้าที่หลักของ สกร. คือการจัด ส่งเสริม และสนับสนุนการเรียนรู้ 3 รูปแบบ คือ การเรียนรู้ตลอดชีวิต การเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเอง และการเรียนรู้เพื่อคุณวุฒิตามระดับ ที่มาและความเป็นมา
สู่ สกร.:ล่าสุด วันที่ 19 มีนาคม 2566 ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติการส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. 2566 ซึ่งยกเลิกฉบับเดิมและยกระดับสำนักงาน กศน. เป็น “กรมส่งเสริมการเรียนรู้” (สกร.
จุดเริ่มต้น:การจัดการศึกษานอกระบบเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2483 ในรูปของกองการศึกษาผู้ใหญ่
การก่อตั้งกรม:ต่อมาได้จัดตั้งเป็น “กรมการศึกษานอกโรงเรียน” เมื่อวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2522 ซึ่งหน่วยงานนี้เป็นที่รู้จักในนาม “กศน.”
การเปลี่ยนชื่อเป็น กศน.:ในปี พ.ศ. 2551 พระราชบัญญัติส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย พ.ศ. 2551 ได้ยกฐานะสำนักงาน กศน. ขึ้นมา
กรมส่งเสริมการเรียนรู้ (อังกฤษ: Department of Learning Encouragement, DOLE) หรือย่อว่า สกร. เป็นส่วนราชการระดับกรม ในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ มีหน้าที่หน้าที่ดูแลรับผิดชอบเกี่ยวกับการจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยในประเทศไทย ยกฐานะมาจากสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) ในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เดิมก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2483 เป็นกองการศึกษาผู้ใหญ่ และจัดตั้งเป็นกรมครั้งแรก เมื่อวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2522 ในชื่อ “กรมการศึกษานอกโรงเรียน” หรือที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายว่า “กศน.”[3]
ประวัติ
ยุคที่ 1 กองการศึกษาผู้ใหญ่
การศึกษาผู้ใหญ่ เริ่มมีอย่างเป็นทางการในปี 2483 โดยรัฐบาลในขณะนั้น ได้ให้มีการจัดตั้ง “กองการศึกษาผู้ใหญ่” สังกัด สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อรับผิดชอบงานการศึกษาผู้ใหญ่โดยตรง และได้ริเริ่มโครงการรณรงค์การรู้หนังสือทั่วประเทศ พร้อมกับประกาศใช้กฎหมายบังคับให้ประชาชนผู้ไม่รู้หนังสือที่มีอายุระหว่าง 20 ถึง 45 ปี เสียค่าเล่าเรียนเป็นรายปี จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าเป็นผู้รู้หนังสือแล้ว ซึ่งโครงการรณรงค์ดังกล่าวประสบความสำเร็จพอสมควร แต่ต้องหยุดชะงักไปเนื่องจากสงครามโลกครั้งที่ 2
ยุคที่ 2 กรมการศึกษานอกโรงเรียน
ต่อมา ได้มีการขยายโอกาสการศึกษาผู้ใหญ่อย่างกว้างขวางในช่วงปี 2513-2523 รัฐบาลจึงได้ยกฐานะกองการศึกษาผู้ใหญ่ ขึ้นเป็น “กรมการศึกษานอกโรงเรียน” ขึ้น เพื่อจัดการศึกษานอกโรงเรียนสำหรับประชาชนในวันที่ 24 มีนาคม 2522[4]
ยุคที่ 3 สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย
จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2545 ได้มีการปฏิรูประบบราชการ และมีการยุบรวมกรมต่าง ๆ ของกระทรวงศึกษาธิการจากเดิม 14 กรม เหลือเพียง 5 สำนักงาน ทำให้ กรมการศึกษานอกโรงเรียน ถูกยุบรวมเป็นสำนักงานบริหารงานการศึกษานอกโรงเรียน สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ต่อมาตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย พุทธศักราช 2551 สำนักฯ จึงปรับภารกิจเป็น “สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย” (อังกฤษ: Office of the Non-Formal and Informal Education : NFE)
ยุคปัจจุบัน กรมส่งเสริมการเรียนรู้
กระทั่งวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2566 ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ พระราชบัญญัติส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. 2566 โดยมีสาระสำคัญคือการยกเลิกพระราชบัญญัติส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย พ.ศ. 2551 และยกฐานะ สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย เป็น “กรมส่งเสริมการเรียนรู้” โดยให้มีผลบังคับใช้เมื่อพ้นไป 60 วันหรือตรงกับวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2566[5][6]
หน่วยงานในสังกัด
กรมส่งเสริมการเรียนรู้ แบ่งส่วนราชการในกรม ดังนี้
- กลุ่มเลขานุการกรม
- กลุ่มการคลังและสินทรัพย์
- กลุ่มบริหารบุคคลและนิติการ
- กลุ่มพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา
- กลุ่มส่งเสริมกิจการการศึกษาและเครือข่าย
- กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนงาน
- กลุ่มเทคโนโลยีดิจิทัลและสารสนเทศ
- กลุ่มพัฒนาระบบการทดสอบ
- กลุ่มตรวจสอบภายใน
- กลุ่มพัฒนาระบบริหาร
- ศูนย์เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้
- สถานีวิทยุโทรทัศน์เพื่อการศึกษา
- ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ (ท้องฟ้าจำลองกรุงเทพ เอกมัย)
- สำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัด/กรุงเทพมหานคร (77 แห่ง)
- ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอ/เขต (928 แห่ง)
- ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ตำบล/แขวง (7,435 แห่ง)
- ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนชาวไทยภูเขา “แม่ฟ้าหลวง” (792 แห่ง)
- ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนชาวไทยมอแกน
- ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอ/เขต (928 แห่ง)
- ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้กลุ่มเป้าหมายพิเศษ
- ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนกาญจนาภิเษก (วิทยาลัยในวัง)
- ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษารังสิต
- สถาบันส่งเสริมและพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้
- สถาบันการศึกษาทางไกล
- สถาบันการศึกษาและพัฒนาต่อเนื่องสิรินธร
- สถาบันส่งเสริมการเรียนรู้ภาค 5 ภาค (เหนือ, ตะวันออกเฉียงเหนือ, กลาง, ตะวันออก, ใต้)
- ศูนย์วงเดือน อาคมสุรทัณฑ์
- ศูนย์ฝึกและพัฒนาอาชีพเกษตรกรรม วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร อันเนื่องมาจากพระราชดำริ
- ศูนย์ฝึกวิชาชีพจังหวัดกาญจนบุรี “สามสงฆ์ทรงพระคุณ”
- ศูนย์ฝึกและพัฒนาอาชีพราษฎรไทยบริเวณชายแดน (ศฝช.) (จังหวัดชุมพร เชียงราย ปัตตานี มุกดาหาร สระแก้ว สุรินทร์ อุตรดิตถ์)
- ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา (16 จังหวัด) (กาญจนบุรี ขอนแก่น ตรัง พระนครศรีอยุธยา นครราชสีมา นครศรีธรรมราช นครสวรรค์ ลำปาง สระแก้ว สมุทรสาคร ยะลา อุบลราชธานี)
- ศูนย์วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมเพื่อการศึกษา จังหวัดร้อยเอ็ด
- อุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
อ้างอิง
- กรมส่งเสริมการเรียนรู้, บุคลากร – กรมส่งเสริมการเรียนรู้, สืบค้นเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2567
- ราชกิจจานุเบกษา, พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘, เล่ม ๑๔๑ ตอนที่ ๕๙ ก หน้า ๗๒, ๓๐ กันยายน ๒๕๖๗
- เปลี่ยนผ่าน ‘กศน.’ สู่ ‘กรมส่งเสริมการเรียนรู้’ มีหน้าที่อะไรบ้าง
- ประวัติความเป็นมากรมการศึกษานอกโรงเรียน nfe.go.th ผ่านทาง web.archive.org สืบค้นเมื่อ 13 กันยายน พ.ศ. 2563
- ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ พ.ร.บ.ส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. 2566 ยกระดับ กศน.เป็นกรมส่งเสริมการเรียนรู้
- พระราชบัญญัติการส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. ๒๕๖๖
ศูนย์การเรียนรู้ระดับตำบลปงน้อย
ในปีพุทธศักราช 2537 กรมการศึกษานอกโรงเรียนในขณะนั้นได้มีคำสั่งให้ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดเชียงราย จัดตั้งศูนย์บริการการศึกษานอกโรงเรียนขึ้นทุกอำเภอและให้มีหัวหน้าศูนย์บริการการศึกษานอกโรงเรียนอำเภอเป็นผู้บริหารงาน โดยใช้อาคารของวัดปงสนุกเป็นสถานที่ดำเนินงานและให้บริการงานการศึกษานอกโรงเรียน
ศูนย์การเรียนชุมชน ก่อตั้งที่ วัดปงสนุก หมู่ที่ 10 บ้านปงน้อยใต้ ตำบลปงน้อย ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2540 โดยมีนางจิตรกานต์ สุตวงค์ เป็นครูประจำศูนย์การเรียน และนางสาวสำเนียง โกพา ครูอาสาสมัครพื้นราบ เป็นผู้ดูแลและรับผิดชอบ ต่อมาเมื่อ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2542 ได้จัดตั้งเป็นศูนย์การเรียนชุมชนให้เป็นศูนย์กลางการจัดการศึกษา เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตของประชาชนในชุมชน โดยเน้นการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาของชุมชน ซึ่งการแต่งตั้งโดยผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ประกาศเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2542 โดยใช้ชื่อว่าศูนย์การเรียนชุมชนวัดปงสนุก เลขที่ 357 หมู่ที่ 10 ถนน กิ่วพร้าว – เชียงของ ตำบลปงน้อย กิ่งอำเภอดอยหลวง จังหวัดเชียงราย โดยใช้อาคารสถานที่ เป็นศาลาเอนกประสงค์ 1 หลัง และได้สร้างขึ้นเพิ่มอีก 1 หลัง โดยการจัดตั้งองค์ผ้าป่า และการขอรับบริจาคจากศิษย์เก่า เป็นจำนวนเงิน 60,000 บาท
กศน.ตำบลปงน้อย ก่อตั้งอาคารเรียน ในปี พ.ศ.2554 โดยได้รับบริจาคที่ดินจากบ้านซ้อ โดยการทำประชาคมจากประชาชนบ้านซ้อบริจาคที่ดินจำนวน 3 ไร่ ให้กับ กศน.ตำบลปงน้อยเพื่อจัดสร้างอาคาร กศน.ตำบล และห้องสมุดประชาชนอำเภอดอยหลวง ห่างจากที่ว่าการอำเภอดอยหลวง ประมาณ 500 เมตร ทำให้ใกล้แหล่งศูนย์กลางการปกครอง การพัฒนา การคมนาคม ประชากรในเขตตำบลปงน้อยร้อยละ 60 ของประชากรอยู่ในวัยแรงงานที่มีอายุระหว่าง 20 – 60 ปี จึงเป็นแรงงานสำคัญของตำบลและตำบลปงน้อยจึงเหมาะแก่การลงทุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะด้านอุตสาหกรรม
และดำเนินการจัดกิจกรรมการศึกษานอกโรงเรียนให้กับประชาชนที่พลาดโอกาส และด้อยโอกาสทางการศึกษาเรื่อยมา
รายนามครู ศูนย์การเรียนชุมชน
1.นางจิตรกานต์ สุตวงค์ ปี พ.ศ. 2540 – พ.ศ. 2554
รายนามครู อาสาสมัครการศึกษานอกโรงเรียน
1. นางสาวสำเนียง โกพา ปี พ.ศ.2540 – พ.ศ.2542
2. นางสาวกิ่งกาญจน์ จันทีนอก ปี พ.ศ.2542 – พ.ศ 2545
3. นางสาวเสถียร เวียงคำ ปี พ.ศ.2545 – พ.ศ.2547
4. นางสาวศุภลักษณ์ พันธ์คำ ปี พ.ศ.2547 – พ.ศ.2555
5. นางโจลี่ ราชัย ปี พ.ศ.2555 – ปัจจุบัน
รายนามครู ครู ศกร.ตำบล
1. นางจิตรกานต์ สุตวงค์ ปี พ.ศ. 2555 – 2567
2.นางสาวพรลภัส โนวิชัย 1 ตุลาคม 2567 – ปัจจุบัน
ที่ตั้ง
เลขที่ 176 หมู่ที่ 8 ตำบลปงน้อย อำเภอดอยหลวง จังหวัดเชียงราย รหัสไปรษณีย์ 57110
โทรศัพท์ 083-5671323
E-mail ติดต่อ : Jittakhan1323@gmail.com
เว็บไซต์ : ศกร.ระดับตำบลปงน้อย